วันพุธที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ระบบงานคลังสินค้า

แนวคิดเกี่ยวกับ คลังสินค้า    
1. สินค้าคงคลัง หมายถึง สินค้าหรือวัตถุที่เก็บรักษาไว้เพื่อประโยชน์
       
ต่อไปในอนาคต
2.ประเภทของสินค้าคงคลัง แบ่งตามลักษณะสินค้าได้ 3 ประเภท คือ
  2.1
วัตถุดิบ (raw materials)
2.2
สินค้าระหว่างผลิต (work-in-proces)
2.3
สินค้าสำเร็จรูป (finihe goods)
3. ลักษณะและความสำคัญของระบบสินค้าคงคลัง มีดังนี้
    3.1
มีการกำหนดหน้าที่และแผนการดำเนินการต่าง ๆ
    3.2
มีการกำหนดแผนการดำเนินงานด้านการบัญชีสินค้าคงคลัง
    3.3
มีการควบคุมสินค้าคงคลังที่สอดคล้องกับความรับผิดชอบ
         
และนโยบายของผู้บริหารแต่ละระดับ
    3.4
มีความแตกต่างระหว่างสินค้าคงคลังที่บันทึกไว้กับสินค้าคงคลัง
         
ที่มีอยู่จริงน้อยที่สุด
    3.5
มีข้อมูลสินค้าคงคลังที่สามารถวินิจฉัยสั่งการด้านธุรกิจในเวลาที่ต้องการ
4.  องค์ประกอบในการดำเนินการระบบสินค้าคงคลัง
4.1
การจัดการสินค้าคงคลัง
4.2
ระบบคอมพิวเตอร์
4.3
ความถูกต้องของข้อมูล
4.4
การสนับสนุนจากผู้บริหาร
4.5
ความรู้ของผู้ใช้ระบบสินค้าคงคลัง
การจัดระบบสินค้าคงคลังการดำเนินงานในระบบสินค้าคงคลังแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ - ระบบบัญชีสินค้าคงคลัง- การจัดการสินค้าคงคลัง
1. ระบบบัญชีสินค้าคงคลังประกอบด้วย
       1.1
การรับสินค้าเข้าสู่ระบบ
       1.2
การเบิกสินค้าออกจากระบบ
       1.3
การคืนสินค้า
       1.4
คลังสินค้า โดยในคลังสินค้าจะมีการปฏิบัติดังนี้
     1)
การจัดให้มีปริมาณสินค้าให้พอเพียงกับความต้องการ
     2)
การจัดทำข้อมูลรายงานสินค้าคงคลังต่อผู้บริหาร
     3)
การดูแลเก็บรักษาและขนย้ายสินค้า
     4)
การตรวจสอบสินค้าที่มีอยู่ในคลังสินค้า
2. การจัดการสินค้าคงคลัง
     1.
 การจัดการสินค้าคงคลัง หมายถึง การดูแลและการจัดเก็บสินค้าคงคลังให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมไปจนถึงการขนส่งทั้งภายในและภายนอกสถานที่
     2.
 ขั้นตอนของการจัดการสินค้าคงคลัง
         2.1
การวางแผนสินค้าคงคลังหมายถึงการกำหนด
              
วัตถุประสงค์และเป้าหมายของการจัดการสินค้าคงคลัง
         2.2
การควบคุมสินค้าคงคลัง หมายถึง การตรวจสอบ
              
วิธีการปฏิบัติให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้
3. การจัดการปริมาณสินค้าคงคลัง มีการจัดการดังนี้
    3.1
กำหนดประเภทสินค้าที่จัดเก็บในคลังสิตค้า
    3.2
การวัดระดับปริมาณสินค้าในคลังสินค้า
    3.3
การเปรียบเทียบและประเมินผล
    3.4
การหาวิธีแก้ไข
4.
 การควบคุมประเภทสินค้า
    4.1
ความจำเป็นในการควบคุมประเภทของสินค้าคงคลัง
    4.2
การใช้วิธีวิเคราะห์เอบีซีในการควบคุมประเภทของสินค้า
         
คงคลัง
     5. การกำหนดปริมาณสั่งซื้อ อาศัยปัจจัยในด้านต้นทุนเข้ามาเกี่ยวข้อง 2 ประเภท คือ ต้นทุนในการสั่งซื้อ และต้นทุนในการจัดการสินค้าคงคลัง
     6.
 การกำหนดจุดสั่งซื้อใหม่ สามารถกำหนดได้จาก         เวลารอคอย และอัตราการใช้สินค้าเฉลี่ยต่อวัน
     7.
การควบคุมสินค้าคงคลังมีประโยชน์ได้หลายประการ คือ   ลดต้นทุนป้องกันการเก็บสินค้านานแล้วเสื่อมคุณภาพ                ลดต้นทุนในการเก็บรักษา ป้องกันการทุจริต                               การผลิตเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ มีสินค้าเสนอขายลูกค้าตลอดเวลา

การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในงานสินค้าคงคลัง
1. การจัดเตรียมข้อมูลพื้นฐาน และการควบคุมข้อมูล
   
ที่เกี่ยวกับงานสินค้าคงคลังมีดังต่อไปนี้
    1.1
การเตรียมข้อมูลนำเข้าและการตรวจสอบและลงรหัส
    1.2
การตรวจสอบเส้นทางเคลื่อนที่ของข้อมูล
    1.3
การควบคุมข้อผิดพลาดในการดำเนินการ
2.
การควบคุมสินค้าเข้าออก
3.
การเชื่อมโยงกับระบบต่าง ๆ ภายในองค์การ
4.
การเชื่อมโยงกับระบบภายนอกองค์การ
5. การตัดสินใจในระดับกลยุทธ์
6.
ประโยชน์ของการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการจัดทำ
    
ระบบสินค้าคงคลัง
     6.1
ประโยชน์ทางด้านการปฏิบัติงาน
     6.2
ประโยชน์ทางด้านการบริหารงาน

การควบคุมสินค้าคงคลังโดยใช้คอมพิวเตอร์
1. การกำหนดกระบวนการ
    1.1 การรับสินค้าเข้าคลังสินค้า
    1.2
การจ่ายสินค้าออกจากคลังสินค้า
    1.3
การวิเคราะห์ข้อมูลสินค้าคงคลัง
    1.4
การออกรายงาน
    1.5
ลูกค้าสัมพันธ์
    1.6
การเชื่อมโยงกับระบบอื่นในระบบสินค้าคงคลัง
2. แฟ้มข้อมูลในระบบสินค้าคงคลัง
     2.1 แฟ้มข้อมูลทะเบียนสินค้าเป็นแฟ้มข้อมูลที่กำหนดรายละเอียด
           
เกี่ยวกับสินค้าทั้งหมดของกิจการ
     2.2
แฟ้มข้อมูลลูกค้าเป็นแฟ้มข้อมูลที่เก็บรักษารายละเอียดลูกค้า
     2.3
แฟ้มข้อมูลคลังสินค้า เป็นแฟ้มข้อมูลที่เก็บรายละเอียด
          
ของคลังสินค้าแต่ละแห่ง
     2.4
แฟ้มข้อมูลสั่งซื้อสินค้า เป็นแฟ้มข้อมูลที่เก็บรายละเอียด
     2.5
แฟ้มข้อมูลรับ-จ่ายสินค้า เป็นแฟ้มข้อมูลแสดงรายละเอียด
          
ประเภทรายการสินค้า
     2.6
แฟ้มข้อมูลรหัสต่าง ๆ เป็นแฟ้มข้อมูลแสดงรายละเอียด
          
ประเภทรายการสินค้า
3. รายงานในระบบสินค้าคงคลัง
     3.1 รายงานเกี่ยวกับสินค้าเป็นรายงานที่นำมาใช้ในการ
          
ตรวจสอบรายการค้าที่เกิดขึ้น
     3.2
รายงานการเคลื่อนไหวสินค้า
     3.3
รายงานปริมาณสินค้า
     3.4
รายงานเกี่ยวกับลูกค้า
     3.5
รายงานการวิเคราะห์
ตัีวอย่างการใช้คอมพิวเตอร์ในงานสินค้าคงคลัง
1. ลักษณะของธุรกิจค้าปลีกมีรูปแบบการค้า 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
    1.1
การค้าปลีกขนาดย่อม
    1.2
การค้าปลีกขนาดใหญ่
2.
กิจกรรมของงานสินค้าคงคลังในธุรกิจค้าปลีก
3.  ส่วนประกอบของโปรแกรมระบบสินค้าคงคลังในธุรกิจค้าปลีก
     3.1
การสร้างข้อมูลสินค้าเป็นการเตรียมข้อมูลของสินค้า
          
เข้าสู่ระบบสินค้าคงคลังโดยการกำหนดรหัสของสินค้า
     3.2
การจำหน่ายสินค้าเป็นการออกบิลขายสินค้าให้แก่ลูกค้า
          
และตัดสต๊อกอัตโนมัติ
     3.3
การสั่งซื้อและรับสินค้าเป็นการบันทึกการรับ/สั่งซื้อสินค้าเข้าคลังสินค้า
     3.4
การตรวจสอบต้นทุนเป็นการคิดต้นทุนของสินค้าแต่ละชนิด
     3.5
การปิดงวดสินค้าเป็นการตรวจนับยอดสินค้าคงคลังในสต๊อก  
     3.6
การวิเคราะห์ข้อมูลสินค้าเป็นการทำรายงานการวิเคราะห์ในรูปแบบต่างๆ
4. การพัฒนาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในระบบสินค้าคงคลัง
   
ของธุรกิจค้าปลีกทำให้สามารถเชื่อมโยงคลังสินค้าต่าง ๆ ได้
5.
ระบบอินเทอร์เน็ตกับงานสินค้าคงคลังในธุรกิจค้าปลีก โดย
    5.1
การควบคุมปริมาณสินค้าในคลังสินค้า
    5.2
การจัดซื้อสินค้าเข้าคลัง

ตัวอย่างงานสินค้าคงคลังในธุรกิจการผลิต
1. ลักษณะของสินค้าคงคลังในธุรกิจการผลิตแบ่งออกเป็น
     1) วัตถุดิบซึ่งเป็นส่วนประกอบในการทำผลิตภัณฑ์
     2)
ชิ้นส่วนที่ต้องซื้อจากบริษัทอื่นเพื่อนำมาประกอบ
         
ในการทำผลิตภัณฑ์
     3)
ผลิตภัณฑ์ที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการผลิต
     4)
ผลิตภัณฑ์ที่สำเร็จแล้ว
     5)
วัสดุที่ใช้ในการสนับสนุนการดำเนินการผลิตต่างๆ
     6) 
เครื่องมือ และอุปกรณ์ต่างๆ  ที่ใช้สำหรับกระบวนการผลิต
2. กิจกรรมของสินค้าคงคลังในธุรกิจการผลิต โดยใช้คอมพิวเตอร์
   
สามารถดำเนินการดังนี้คือ
    2.1 
เก็บข้อมูลลักษณะของวัตถุดิบ
    2.2 
เก็บข้อมูลที่ใช้ในการจัดซื้อจัดหาวัตถุดิบ
    2.3 
เก็บข้อมูลบัญชีวัตถุดิบ
    2.4 
ควบคุมปริมาณวัตถุดิบสำหรับรายการวัตถุดิบสำรองในคลัง
    2.5 
สอบถามข้อมูลวัตถุดิบที่จัดเก็บตามสถานะต่างๆ 
    2.6 
จองวัตถุดิบให้เป็นไปตามการวางแผนความต้องการวัตถุดิบ
    2.7 
จัดทำข้อมูลที่ได้จากการประมวลผล
    2.8 
จัดทำข้อมูลเพื่อใช้ในการพิจารณาดำเนินการ
    2.9 
ทำการตรวจนับวัตถุดิบ
    2.10
เชื่อมโยงการบันทึกข้อมูลรายการรับจ่าย
3. การดำเนินกรรมวิธีข้อมูลวัตถุดิบโดยคอมพิวเตอร์
   แบ่งออกเป็นขั้นตอนดังนี้
   3.1 การรับวัตถุดิบเข้าคลัง
    3.2
การปรับปรุงและประมวลผลข้อมูล
    3.3
รายงานสรุปงานยอดวัตถุดิบ
4. ส่วนประกอบของโปรแกรมระบบสินค้าคงคลัง
   ในธุรกิจการผลิต
     4.1
การสร้าง/ปรับปรุงข้อมูลวัตถุดิบ
     4.2
การเบิกวัตถุดิบจากคลังสินค้า
     4.3
การรับวัตถุดิบเข้าคลังสินค้า
     4.4
การตรวจนับวัตถุดิบ
     4.5
การวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณวัตถุดิบ






ปัจจัยที่เกี่ยวข้องในการบริหารสินค้าคงคลัง

ปัจจัยที่เกี่ยวข้องในการบริหารสินค้าคงคลัง

                 ในโรงงานอุตสาหกรรมโดยทั่วไปจะมีสินค้าคงคลังประมาณ 10,000 ถึง 50,000    รายการ การบริหารสินค้าคงคลังให้มีประสิทธิภาพ องค์กรจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับสินค้าคงคลัง  แต่ละรายการและผลกระทบจากสินค้าคงคลังนั้นที่มีต่อสินค้าสำเร็จรูป ซึ่งแต่ละรายการมีปัจจัยต่างๆ ที่ควรพิจารณาคือ ลักษณะของอุปสงค์ หรือความต้องการ  การจัดกลุ่มหมวดหมู่ของวัสดุและระดับความสำคัญ โดยมีรายละเอียดของแต่ละปัจจัยดังนี้
                 1. อุปสงค์หรือความต้องการของสินค้าคงคลัง (Demand of Inventory) มีส่วนสำคัญในการจำแนกวิธีในการวางแผนและควบคุมสินค้าคงคลัง มี 2 ลักษณะคือ
                      1.1 อุปสงค์อิสระ (Independent Demand) หมายถึงอุปสงค์ที่ไม่มีความสัมพันธ์กับอุปสงค์ของรายการสินค้าอื่นๆ ในองค์กร เช่น อุปสงค์ของสินค้าสำเร็จรูปที่มีความต้องการมาจากความต้องการของลูกค้า อุปสงค์ของชิ้นส่วนในการซ่อมบำรุงเครื่องจักรที่เกิดการชำรุด
                      1.2 อุปสงค์ตาม (Dependent Demand) หมายถึงอุปสงค์ที่มีความสัมพันธ์กับ รายการสินค้าอื่น ๆ หรือมีความต้องการมาจากโครงสร้างของผลิตภัณฑ์ตามลำดับ เช่น  ความต้องการชิ้นส่วนในการประกอบตามใบแสดงรายการวัสดุ (Bill of Material-BOM) ความต้องการสารเคมีในการผลิตในอุตสาหกรรมเคมี ภาพที่ 10.1

 (อ้างอิงจาก วิชัย ไชยมี, 2547, หน้า 74)

                 จากภาพที่ 10.1 สินค้าสำเร็จรูป A เป็นสินค้าที่มีอุปสงค์แบบอุปสงค์อิสระ เพราะความต้องการไม่ขึ้นกับสินค้าคงคลังใดๆ ชิ้นส่วน B – J เป็นสินค้าคงคลังที่เป็นอุปสงค์ตาม เพราะความต้องการขึ้นกับปริมาณสินค้าคงคลังในระดับที่สูงกว่า ในโรงงานผลิต 1 โรงงานจะมีอุปสงค์ของสินค้าคงคลังได้หลายประเภท เช่น โรงงานผลิตทางเคมี มีกระบวนการผลิตแบบต่อเนื่อง จะมีอุปสงค์ของสารเคมีเพื่อการผลิตแบบอุปสงค์ตาม กล่าวคือมีความต้องการใช้สารเคมีเพื่อการผลิตตามปริมาณการผลิตสินค้าสำเร็จรูป สำหรับงานซ่อมบำรุงแบบป้องกัน ตามแผนการซ่อมเครื่องจักร  ที่ใช้งานมากหรือน้อยตามปริมาณการผลิต จะมีความต้องการชิ้นส่วนเพื่อการซ่อมบำรุงแบบอุปสงค์ตามแต่สำหรับงานซ่อมแบบฉุกเฉิน จะมีความต้องการชิ้นส่วนเพื่อการซ่อมบำรุงแบบอุปสงค์อิสระเพราะไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณการผลิต หรือการจำนวนการใช้งานโดยตรง
                 2. การจัดกลุ่มสินค้าคงคลัง (Inventory Catalog) เป็นการจัดรายการสินค้าคงคลังประเภทเดียวกันไว้ในกลุ่มเดียวกัน สินค้าคงคลังหนึ่งรายการอาจจัดอยู่ในหลายกลุ่ม ขึ้นอยู่กับความต้องการในการแบ่งประเภทและความสามารถของระบบฐานข้อมูลที่ใช้ เช่น ท่อพลาสติPOLYPROPYLENE จัดอยู่ในกลุ่มของท่อซึ่งรวมถึงท่อที่เป็นโลหะและจัดอยู่ในกลุ่มของผลิตภัณฑ์ที่เป็นพลาสติก และยังจัดเป็นวัสดุที่ทนต่อการกัดกร่อนของกรด ประโยชน์ที่สำคัญของการจัดกลุ่มสินค้าคงคลังคือ ช่วยป้องกันการตั้งรายการสินค้าคงคลังซ้ำ และใช้เป็นสื่อกลางในการสื่อสาร ซึ่งทำให้หน่วยงานต่างๆ ในองค์กรสามารถนำข้อมูลนี้ไปใช้ในงานของหน่วยงานนั้น ๆ เช่น กลุ่มที่เป็นวัตถุดิบ หน่วยงานบัญชีใช้เป็นต้นทุนการผลิตโดยตรง (Direct Cost) หน่วยงานบริหารใช้ในการกำหนดผู้มีอำนาจในการสั่งซื้อ  หน่วยงานจัดซื้อใช้กำหนดผู้ทำหน้าที่ในการจัดหา เป็นต้น
                 3. การจัดระดับความสำคัญด้วย ABC (ABC Analysis ; The 80-20 Concept)      จากการที่สินค้าคงคลังขององค์กรมีรายการจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบ ชิ้นส่วนประกอบ      ชิ้นส่วนในการซ่อมบำรุงหรือของใช้ทั่วไป  หากให้ความสำคัญสินค้าคงคลังเท่ากันทั้งหมดจะทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายและเวลามาก  ดังนั้นในการบริหารสินค้าคงคลังจะต้องจัดระดับความสำคัญของสินค้าคงคลังแต่ละรายการเพื่อจัดสรรทรัพยากรของคลังพัสดุให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
                 สินค้าคงคลังบางประเภทมีการใช้น้อยแต่มีมูลค่าสูง เช่นมีการใช้ 5-10% ของรายการทั้งหมด แต่มีมูลค่ารวมถึง 80% ของมูลค่าการใช้ทั้งหมด ในทางตรงข้ามสินค้าคงคลังบางประเภทมีการใช้มากแต่มูลค่ารวมน้อย จึงมีแนวทางในการจัดระดับความสำคัญของสินค้าคงคลังแต่ละรายการ ซึ่งได้จากการศึกษาข้อมูลของบริษัทขนาดกลางหลายร้อยบริษัทแถบฝั่งตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยใช้มูลค่าการใช้สินค้าคงคลังเป็นฐานในการจัดแบ่งระดับความสำคัญ ซึ่งวิธีนี้มีชื่อเรียกว่าวิธี ABC analysis หรือThe 80-20 Concept ซึ่งมีหลักเกณฑ์พอสรุปได้ดังนี้ (Dobler, Lee, & Burt, 1984, หน้า 239)
                 ประเภท A มีรายการสินค้าคงคลังประมาณ 10% ของรายการสินค้าคงคลังทั้งหมด มีมูลค่าประมาณ 75% ของมูลค่าสินค้าคงคลังที่ใช้ทั้งหมด
                 ประเภท B มีรายการสินค้าคงคลังอีกประมาณ 15% ของรายการสินค้าคงคลังทั้งหมด มีมูลค่าประมาณ 15% ของมูลค่าสินค้าคงคลังที่ใช้ทั้งหมด หรือเมื่อรวมกับประเภท A แล้ว จะมีมูลค่าประมาณ 90% (75% + 15%) ของมูลค่าสินค้าคงคลังที่ใช้ทั้งหมด
                 ประเภท C มีรายการสินค้าคงคลังอีกประมาณ 75% ของรายการสินค้าคงคลังทั้งหมด มีมูลค่าประมาณ 10% ของมูลค่าสินค้าคงคลังที่ใช้ทั้งหมด
                 ผลจากการจัดระดับความสำคัญของรายการสินค้าคงคลัง จะช่วยในการจัดสรรทรัพยากรขององค์กรให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น บริษัทกำหนดนโยบายในสินค้าคงคลังประเภท A จะต้องถูกทบทวนสถานะ การเก็บและการซื้อทุกเดือน  สินค้าคงคลังประเภท B จะต้องถูกทบทวนสถานะ การเก็บและการซื้อทุก 1-6 เดือน  สินค้าคงคลังประเภท C จะต้องถูกทบทวนสถานะ การเก็บและการซื้อทุก 6-12 เดือน เป็นต้น
            ตัวอย่างที่ 10.1 ขั้นตอนการจัดระดับความสำคัญ

หน้าที่ในการบริหารสินค้าคงคลัง

หน้าที่ในการบริหารสินค้าคงคลัง

                 ในการบริหารสินค้าคงคลัง ผู้บริหารที่รับผิดชอบโดยตรงมีหน้าที่หลักในการบริหารสินค้าคงคลังในด้านต่างๆ ดังนี้
                 1. การวางแผนและควบคุมสินค้าคงคลัง เป็นการวางแผนการเก็บสินค้าคงคลังให้เพียงพอกับความต้องการด้วยต้นทุนที่เหมาะสม ด้วยการกำหนดปริมาณที่จะเก็บ ปริมาณที่จะสั่งซื้อ จุดสั่งซื้อใหม่ และการจัดระดับความสำคัญของสินค้าคงคลังแต่ละรายการ
                 2. การควบคุมสินค้าคงคลังทางบัญชี เป็นการบันทึกสถานะของสินค้าคงคลังที่มีอยู่  ตั้งแต่การรับ การครอบครองสิทธิ์ การจ่าย สินค้าคงเหลือ การตรวจนับสินค้าคงคลัง และอาจรวมถึงการเตรียมข้อมูลเพื่อการบันทึกค่าใช้จ่ายทางบัญชี
                 3. การปฏิบัติการด้านสินค้าคงคลัง เกี่ยวข้องกับอาคารสถานที่เก็บ บุคลากร อุปกรณ์ที่ใช้ในการขนส่งและเคลื่อนย้าย และอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการดำเนินงานปกติ





ประเภทของสินค้าคงคลัง

ประเภทของสินค้าคงคลัง

                 สินค้าคงคลังสามารถจัดแบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ ได้หลายประเภทในหลายรูปแบบตามระดับของการพิจารณาทั้งในระดับของลักษณะการประกอบธุรกิจ และระดับเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิต  การจัดประเภทสินค้าคงคลังมีดังนี้ (Russell & Taylor, 1995, หน้า 597)
                 1. การแบ่งประเภทของสินค้าคงคลังตามลักษณะของการประกอบธุรกิจ จะมีอยู่สองลักษณะคือ สินค้าคงคลังเพื่อการผลิตและสินค้าคงคลังเพื่อการขาย ซึ่งสามารถแบ่งตามลักษณะที่ใช้เป็นสากลมีดังนี้ (ปรีชา  พันธุมสินชัย, 2539, หน้า 158-159)
                      1.1 สินค้าหรือของที่ใช้สนับสนุนการผลิต (วัตถุดิบและสินค้าระหว่างการผลิต)     กิจกรรมสนับสนุน (ซ่อมบำรุงและของใช้ในการดำเนินงาน) และการบริการลูกค้า (สินค้าสำเร็จรูปและอะไหล่)
                      1.2 ตามทฤษฎีข้อจำกัด (Theory of Constraints) หมายถึงสินค้าที่ซื้อมาเพื่อ   ขายต่อ ซึ่งรวมถึงเครื่องมือ สถานที่และวัตถุดิบ
                 2. แบ่งประเภทของสินค้าคงคลังเฉพาะอุตสาหกรรมผลิต โดยสินค้าคงคลังในอุตสาหกรรมผลิต แบ่งเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้ (Dobler, Lee, & Burt, 1984, หน้า 238)
                      2.1 สินค้าคงคลังเพื่อการผลิต (Production Inventories) ประกอบด้วย วัตถุดิบ ชิ้นส่วน ที่เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ที่ทำการผลิต ซึ่งแบ่งตามลักษณะออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
2.1.1   สินค้าที่ผลิตให้โดยเฉพาะตามข้อกำหนด (Specifications) ของบริษัท
2.2.2    สินค้าที่เป็นไปตามมาตรฐานอุตสาหกรรมและซื้อมา (Off the Shelf)
                      2.2 สินค้าคงคลังเพื่อการดำเนินงาน (Maintenance or Repair and Operating Supplies–MRO Inventories) เป็นสินค้าที่ใช้ในการดำเนินงานรวมถึงสินค้าที่ใช้ในกระบวนการผลิตแต่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์ เช่น ชิ้นส่วนเพื่อการซ่อมบำรุง น้ำมันหล่อลื่น กระดาษ เป็นต้น
                      2.3 สินค้าระหว่างผลิต (In-Process Inventories) เป็นสินค้ากึ่งสำเร็จรูปที่อยู่ในกระบวนการผลิตตามขั้นตอนการผลิตต่างๆ

                      2.4 สินค้าสำเร็จรูป (Finished Goods Inventories) เป็นสินค้าที่ผลิตเสร็จสิ้นแล้วและพร้อมส่งให้กับลูกค้า



ความหมายของการบริหารสินค้าคงคลัง

สินค้าคงคลัง หมายถึง สินค้าหรือทรัพยากรที่องค์กรเก็บไว้เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าภายในหรือลูกค้าภายนอกส่วนการบริหารสินค้าคงคลัง เป็นการบริหารที่เกี่ยวข้องกับปริมาณข้อมูล  การเคลื่อนย้าย  การจัดหา  การจัดเก็บ  การจ่ายสินค้าคงคลัง มีวัตถุประสงค์ทั่วไปเพื่อเก็บสินค้าคงคลังให้เพียงพอกับความต้องการต้นทุนที่เหมาะสม ด้วยการกำหนดปริมาณสินค้าคงคลังที่ต้องเก็บ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการปริมาณในการสั่งซื้อครั้งละเท่าไร (How much) และสินค้าเมื่อไร (When) สำหรับองค์กรการผลิต วัตถุประสงค์ของการมีสินค้าคงคลัง มีดังนี้
                       1.  เพื่อให้การผลิตเป็นไปอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ (Production smoothing)
                 2.  เพื่อรองรับความต้องการของตลาด

                       3.  เพื่อป้องกันปัญหาด้าน ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม


โปรแกรมสต๊อกสินค้า คืออะไร


    โปรแกรมบริหารจัดการสต๊อคสินค้า

     สมัยใหม่ที่นำเอาเทคโนโลยีแต่ละชนิดมาพัฒนาร่วมกันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดเพราะเราตระหนักดีว่า
    การจัดการสต๊อกสินค้าที่มีประสิทธิภาพเป็นตัวกำหนดว่าธุรกิจจะได้ กำไรมากน้อยเพียงใด
    เป็นการลดต้นทุนและเพิ่มผลกำไรให้กับผู้ประกอบการ


   

การบริหารสินค้าคงคลัง (Inventory Management)

รควบคุมสินค้าคงคลัง เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้บริหารควรให้ความสนใจและเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด เนื่องจากสินค้าคงคลังเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงที่สุดในกลุ่มของทรัพย์สินหมุนเวียนของการผลิต ปัญหาที่เกิดขึ้นในการบริหารสินค้าคงคลังอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำมาซึ่งความล้มเหลวของกิจการได้ ถ้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนประกอบต่าง ๆ มีอยู่ไม่เพียงพอกับความต้องการของการผลิตแล้ว อาจทำให้เกิดปัญหาถึงขั้นการผลิตหยุดชะงัก และอาจทำให้ส่งสินค้าให้ลูกค้าไม่ได้ หรือไม่ทันตามกำหนด ซึ่งอาจทำสูญเสียลูกค้าได้ หากพยายามเก็บสินค้าคงคลังไว้มากเพื่อ  ป้องกันการขาดแคลนวัตถุดิบ ชิ้นส่วน หรือสินค้าสำเร็จรูป จะต้องใช้เงินลงทุนอีกจำนวนมากด้วยเช่นกัน

  ในองค์กรที่ทำการผลิต สินค้าคงคลังจะทำให้การผลิตมีความสม่ำเสมอและมีการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ การบริหารสินค้าคงคลังจะต้องทำให้มีเพียงพอกับความต้องการในเวลาที่ต้องการและมีราคาที่เหมาะสม นอกจากนี้การมีสินค้าคงคลังที่ได้จากการซื้อ จะช่วยให้หน่วยงานจัดซื้อมีความยืดหยุ่นในการวางแผนการจัดหา การเจรจาต่อรองทำให้เกิดการแข่งขันในด้านราคาและคุณภาพของสินค้าคงคลังที่จัดหา


คลังสินค้าคืออะไร

มีผู้ให้ความหมาย/คำจำกัดความของคำว่า คลังสินค้า (Warehouse) ไว้หลายความหมาย ซึ่งขอนำมากล่าวไว้ดังนี้
- พื้นที่ที่ได้วางแผนแล้วเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้สอยและเคลื่อนย้ายสินค้าและวัตถุดิบ (A planned space for the efficient accommodation and handling of goods and materials) (คำนาย อภิปรัชญาสกุล.2547)
- เป็นส่วนหนึ่งของระบบโลจิสติกส์ของกิจการซึ่งเก็บสินค้าคงคลังที่อยู่ในระหว่างจุดกำเนิดกับจุดบริโภค และจัดหาสารสนเทศเพื่อการบริหารในเรื่องสถานะภาพ เงื่อนไข และการจัดเรียงของสินค้าคงคลังที่กำลังเก็บอยู่ (โภคทรัพย์ พุ่มพวง.2549; อ้างอิงมาจาก J R Stock and D M Lambert)
- ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 คำว่า “คลังสินค้า” หมายความว่า “โรงพักสินค้าที่มั่นคง” ปัจจุบันความหมายคลังสินค้าครอบคลุมถึงสถานที่จัดเก็บสินค้าทำหน้าที่เป็น จุดพัก จัดเก็บ กระจายการจัดสินค้า หรือ วัตถุดิบ ทั้งในส่วนของการบริหารสินค้าคงคลัง และการบริหารการจัดเก็บ
- สถานที่สำหรับจัดเก็บของหรือสินค้าต่าง ๆ จำนวนมาก
- สิ่งปลูกสร้างที่มีไว้ใช้ในการพักและเก็บรักษาสินค้าในปริมาณที่มาก ๆ

    คลังสินค้า (Warehouse) หรือที่ในอดีตนิยมเรียกว่า โกดัง (godown) คือ อาคารทางพาณิชย์ที่ใช้สำหรับเก็บสินค้าเพื่อรอการขนส่ง คลังสินค้าถูกใช้โดยผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก ผู้ค้าส่ง ธุรกิจขนส่ง ศุลกากร ฯลฯ คลังสินค้ามักเป็นอาคารหลังใหญ่และกว้างตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมในตัวเมือง ภายในอาคารมีทางลาดเอียงสำหรับขนถ่ายสินค้าขึ้นหรือลงรถ หรือบางครั้งก็ขนถ่ายสินค้ามาจากสถานีรถไฟ สนามบิน หรือท่าเรือโดยตรงและมักจะมีเครนหรืรถฟอร์คลิฟท์ เพื่อเคลื่อนย้ายสินค้าที่วางอยู่บนพาเลท (pallet) ไปยังสถานที่จัดเก็บต่อไป
จากความข้างต้นสามารถสรุป ความหมายของคำว่า คลังสินค้า (Warehouse) หมายถึง สถานที่ที่ใช้ในการจัดเก็บวัตถุดิบ สินค้าสำเร็จรูป เพื่อสำรองไว้ใช้ในเวลาที่เหมะสม

   ในส่วนของความหมายที่เกี่ยวข้องกับคลังสินค้า คือ คำว่า การคลังสินค้า (Warehousing) หมายถึง การเก็บรักษาสินค้า การคลังสินค้า (Warehousing) หมายถึง กระบวนการในการรับ การเก็บ การหยิบ ตลอดจนถึงการส่งสินค้า ให้แก่ผู้รับเพื่อการขาย หรือการใช้งานต่อไป (ก่อเกียรติ วิริยะกิจพัฒนา.2549)การคลังสินค้า (Warehousing) หมายถึง การปฏิบัติทางกายภาพเกี่ยวกับการรับ การเก็บรักษา และการจ่ายพัสดุ (คำนาย อภิปรัชญาสกุล.2548;อ้างอิงมาจากT.M. 743-200, Storage and Materials handing)
สรุปความหมายของคำว่า การคลังสินค้า (Warehousing) หมายถึง การดำเนินการเกี่ยวกับการรับเก็บรักษาสินค้า ดูแลและให้บริการต่าง ๆ แก่ลูกค้า