ปัจจัยที่เกี่ยวข้องในการบริหารสินค้าคงคลัง
ในโรงงานอุตสาหกรรมโดยทั่วไปจะมีสินค้าคงคลังประมาณ
10,000 ถึง 50,000 รายการ การบริหารสินค้าคงคลังให้มีประสิทธิภาพ
องค์กรจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับสินค้าคงคลัง
แต่ละรายการและผลกระทบจากสินค้าคงคลังนั้นที่มีต่อสินค้าสำเร็จรูป
ซึ่งแต่ละรายการมีปัจจัยต่างๆ ที่ควรพิจารณาคือ ลักษณะของอุปสงค์
หรือความต้องการ การจัดกลุ่มหมวดหมู่ของวัสดุและระดับความสำคัญ
โดยมีรายละเอียดของแต่ละปัจจัยดังนี้
1. อุปสงค์หรือความต้องการของสินค้าคงคลัง (Demand of Inventory) มีส่วนสำคัญในการจำแนกวิธีในการวางแผนและควบคุมสินค้าคงคลัง
มี 2 ลักษณะคือ
1.1
อุปสงค์อิสระ (Independent Demand) หมายถึงอุปสงค์ที่ไม่มีความสัมพันธ์กับอุปสงค์ของรายการสินค้าอื่นๆ
ในองค์กร เช่น อุปสงค์ของสินค้าสำเร็จรูปที่มีความต้องการมาจากความต้องการของลูกค้า
อุปสงค์ของชิ้นส่วนในการซ่อมบำรุงเครื่องจักรที่เกิดการชำรุด
1.2
อุปสงค์ตาม (Dependent Demand) หมายถึงอุปสงค์ที่มีความสัมพันธ์กับ
รายการสินค้าอื่น ๆ
หรือมีความต้องการมาจากโครงสร้างของผลิตภัณฑ์ตามลำดับ เช่น ความต้องการชิ้นส่วนในการประกอบตามใบแสดงรายการวัสดุ
(Bill of Material-BOM) ความต้องการสารเคมีในการผลิตในอุตสาหกรรมเคมี
ภาพที่ 10.1
(อ้างอิงจาก วิชัย ไชยมี,
2547, หน้า 74)
จากภาพที่ 10.1
สินค้าสำเร็จรูป A เป็นสินค้าที่มีอุปสงค์แบบอุปสงค์อิสระ
เพราะความต้องการไม่ขึ้นกับสินค้าคงคลังใดๆ ชิ้นส่วน B – J เป็นสินค้าคงคลังที่เป็นอุปสงค์ตาม
เพราะความต้องการขึ้นกับปริมาณสินค้าคงคลังในระดับที่สูงกว่า ในโรงงานผลิต 1
โรงงานจะมีอุปสงค์ของสินค้าคงคลังได้หลายประเภท เช่น
โรงงานผลิตทางเคมี มีกระบวนการผลิตแบบต่อเนื่อง
จะมีอุปสงค์ของสารเคมีเพื่อการผลิตแบบอุปสงค์ตาม
กล่าวคือมีความต้องการใช้สารเคมีเพื่อการผลิตตามปริมาณการผลิตสินค้าสำเร็จรูป
สำหรับงานซ่อมบำรุงแบบป้องกัน ตามแผนการซ่อมเครื่องจักร ที่ใช้งานมากหรือน้อยตามปริมาณการผลิต
จะมีความต้องการชิ้นส่วนเพื่อการซ่อมบำรุงแบบอุปสงค์ตามแต่สำหรับงานซ่อมแบบฉุกเฉิน
จะมีความต้องการชิ้นส่วนเพื่อการซ่อมบำรุงแบบอุปสงค์อิสระเพราะไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณการผลิต
หรือการจำนวนการใช้งานโดยตรง
2.
การจัดกลุ่มสินค้าคงคลัง (Inventory Catalog) เป็นการจัดรายการสินค้าคงคลังประเภทเดียวกันไว้ในกลุ่มเดียวกัน
สินค้าคงคลังหนึ่งรายการอาจจัดอยู่ในหลายกลุ่ม ขึ้นอยู่กับความต้องการในการแบ่งประเภทและความสามารถของระบบฐานข้อมูลที่ใช้ เช่น
ท่อพลาสติก POLYPROPYLENE จัดอยู่ในกลุ่มของท่อซึ่งรวมถึงท่อที่เป็นโลหะและจัดอยู่ในกลุ่มของผลิตภัณฑ์ที่เป็นพลาสติก
และยังจัดเป็นวัสดุที่ทนต่อการกัดกร่อนของกรด
ประโยชน์ที่สำคัญของการจัดกลุ่มสินค้าคงคลังคือ
ช่วยป้องกันการตั้งรายการสินค้าคงคลังซ้ำ และใช้เป็นสื่อกลางในการสื่อสาร
ซึ่งทำให้หน่วยงานต่างๆ ในองค์กรสามารถนำข้อมูลนี้ไปใช้ในงานของหน่วยงานนั้น ๆ
เช่น กลุ่มที่เป็นวัตถุดิบ หน่วยงานบัญชีใช้เป็นต้นทุนการผลิตโดยตรง (Direct
Cost) หน่วยงานบริหารใช้ในการกำหนดผู้มีอำนาจในการสั่งซื้อ หน่วยงานจัดซื้อใช้กำหนดผู้ทำหน้าที่ในการจัดหา เป็นต้น
3.
การจัดระดับความสำคัญด้วย ABC (ABC Analysis ; The 80-20 Concept)
จากการที่สินค้าคงคลังขององค์กรมีรายการจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบ ชิ้นส่วนประกอบ ชิ้นส่วนในการซ่อมบำรุงหรือของใช้ทั่วไป หากให้ความสำคัญสินค้าคงคลังเท่ากันทั้งหมดจะทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายและเวลามาก
ดังนั้นในการบริหารสินค้าคงคลังจะต้องจัดระดับความสำคัญของสินค้าคงคลังแต่ละรายการเพื่อจัดสรรทรัพยากรของคลังพัสดุให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
สินค้าคงคลังบางประเภทมีการใช้น้อยแต่มีมูลค่าสูง
เช่นมีการใช้ 5-10% ของรายการทั้งหมด แต่มีมูลค่ารวมถึง 80%
ของมูลค่าการใช้ทั้งหมด ในทางตรงข้ามสินค้าคงคลังบางประเภทมีการใช้มากแต่มูลค่ารวมน้อย จึงมีแนวทางในการจัดระดับความสำคัญของสินค้าคงคลังแต่ละรายการ ซึ่งได้จากการศึกษาข้อมูลของบริษัทขนาดกลางหลายร้อยบริษัทแถบฝั่งตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยใช้มูลค่าการใช้สินค้าคงคลังเป็นฐานในการจัดแบ่งระดับความสำคัญ
ซึ่งวิธีนี้มีชื่อเรียกว่าวิธี ABC analysis หรือThe
80-20 Concept ซึ่งมีหลักเกณฑ์พอสรุปได้ดังนี้ (Dobler, Lee,
& Burt, 1984, หน้า 239)
ประเภท A มีรายการสินค้าคงคลังประมาณ 10% ของรายการสินค้าคงคลังทั้งหมด
มีมูลค่าประมาณ 75% ของมูลค่าสินค้าคงคลังที่ใช้ทั้งหมด
ประเภท B มีรายการสินค้าคงคลังอีกประมาณ 15% ของรายการสินค้าคงคลังทั้งหมด
มีมูลค่าประมาณ 15% ของมูลค่าสินค้าคงคลังที่ใช้ทั้งหมด
หรือเมื่อรวมกับประเภท A แล้ว จะมีมูลค่าประมาณ 90%
(75% + 15%) ของมูลค่าสินค้าคงคลังที่ใช้ทั้งหมด
ประเภท C มีรายการสินค้าคงคลังอีกประมาณ 75% ของรายการสินค้าคงคลังทั้งหมด
มีมูลค่าประมาณ 10% ของมูลค่าสินค้าคงคลังที่ใช้ทั้งหมด
ผลจากการจัดระดับความสำคัญของรายการสินค้าคงคลัง
จะช่วยในการจัดสรรทรัพยากรขององค์กรให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างเช่น บริษัทกำหนดนโยบายในสินค้าคงคลังประเภท A จะต้องถูกทบทวนสถานะ การเก็บและการซื้อทุกเดือน สินค้าคงคลังประเภท B จะต้องถูกทบทวนสถานะ
การเก็บและการซื้อทุก 1-6 เดือน สินค้าคงคลังประเภท C จะต้องถูกทบทวนสถานะ
การเก็บและการซื้อทุก 6-12 เดือน เป็นต้น
ตัวอย่างที่
10.1
ขั้นตอนการจัดระดับความสำคัญ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น